ประวัติ ความหมาย และ วิธีผลิตของกระจกเทมเปอร์

     ความหมายของกระจกนิรภัย
กระจกนิรภัย (Tempered Glass) เป็นชนิดของกระจกที่ผ่านกระบวนการควบคุมความร้อนและการทำแรงดัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและป้องกันการแตกหักอย่างมีประสิทธิภาพ กระจกนิรภัยทำจากวัสดุแก้วที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพและความเหมาะสมก่อนการผลิต โดยใช้กระบวนการทำความร้อนและทำแรงดันโดยเฉพาะ เมื่อถูกทำแบบนี้ กระจกจะมีความแข็งแรงสูงขึ้นและไม่แตกหักเมื่อเกิดแรงกระแทก หากกระจกนิรภัยถูกทำลาย จะเป็นชิ้นเล็กๆและไม่เป็นอันตรายเหมือนกระจกปกติที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆต่อความเป็นอันตรายในการใช้งาน การใช้งานทั่วไปของกระจกนิรภัยได้แก่ กระจกหน้าต่างบ้าน บานประตู และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และโน๊ตบุ๊ค เป็นต้น
 
ประวัติโดยย่อของกระจกนิรภัย
กระจกนิรภัย (Tempered Glass) มีกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1874 โดยมีวิศวกรชาวอังกฤษชื่อฟรีเดอริค ฮาร์ดแมน (Frederick Hardman) เป็นผู้คิดค้น แต่แรงขับเคลื่อนสำคัญในการพัฒนากระจกนิรภัยคือ ชาวฝรั่งเศส ตวง. ซัตวิน (Francois Barthelemy Alfred Royer de la Bastie) และ ชาวอเมริกัน ฮอร์สลีย์ ซี. ฟิล (H. P. Brown) ซึ่งได้ร่วมกันพัฒนากระบวนการควบคุมความร้อนและการทำแรงดันที่มีประสิทธิภาพสำหรับการผลิตกระจกนิรภัย เมื่อต้นศตวรรษที่ 20 กระจกนิรภัยได้เริ่มเป็นที่นิยมในสหรัฐฯ และในภูมิภาคอื่นๆในทั่วโลก เนื่องจากมีความปลอดภัยสูงขึ้นจากกระจกปกติ ทำให้กระจกนิรภัยมีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายในชีวิตประจำวัน
 
กระจกนิรภัยทำได้อย่างไร?
กระจกนิรภัย (Tempered Glass) จะผลิตขึ้นจากการใช้กระบวนการควบคุมความร้อนและการทำแรงดันที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานให้กับกระจก กระบวนการผลิตหลักของกระจกนิรภัยประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้
  1. ตัดแผ่นกระจก: ก่อนที่จะผ่านกระบวนการควบคุมความร้อนและการทำแรงดัน แผ่นกระจกต้องถูกตัดตามขนาดและรูปทรงที่ต้องการ
  2. การสำรวจคุณภาพ: แผ่นกระจกที่ตัดมาต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีตำหนิหรือรอยขีดข่วน
  3. การเตรียมพื้นผิว: แผ่นกระจกต้องถูกล้างและเตรียมพื้นผิว เพื่อลดการติดต่อกับสิ่งอื่น ๆ ในขณะที่ผ่านกระบวนการควบคุมความร้อนและการทำแรงดัน
  4. กระบวนการควบคุมความร้อน: แผ่นกระจกจะถูกนำเข้าเตาอบที่มีอุณหภูมิสูง โดยการควบคุมอุณหภูมิให้มีค่าเฉพาะ ซึ่งจะทำให้แผ่นกระจกสามารถรับแรงดันได้มากขึ้น
  5. กระบวนการทำแรงดัน: หลังจากกระบวนการควบคุมความร้อนเสร็จสิ้นแล้ว แผ่นกระจกจะถูกนำเข้าเครื่องทำแรงดัน ซึ่งจะทำให้แผ่นกระจกมีความแข็งแรงและทนทานมากขึ้น
  6. การทำความเย็น: หลังจากกระบวนการทำแรงดันเสร็จสิ้นแล้ว แผ่นกระจกจะถูกนำเข้าเครื่องทำความเย็นเพื่อให้แผ่นกระจกมีอุณหภูมิต่ำลงและมีความเป็นกระจกนิรภัย
  7. การตัดแต่งและการตรวจสอบคุณภาพ: หลังจากกระบวนการผลิตเสร็จสิ้นแล้ว แผ่นกระจกจะถูกตัดแต่งและตรวจสอบคุณภาพอีกครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์สมบูรณ์และไม่มีตำหนิ
ผ่านการผลิตเสร็จแล้ว แผ่นกระจกนิรภัยจะมีความแข็งแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับแผ่นกระจกปกติ โดยมีความทนทานต่อแรงกระแทกและแรงเหวี่ยงสูงกว่า นอกจากนี้ กระจกนิรภัยยังมีคุณสมบัติที่ทนต่อการแตกร้าวเมื่อเกิดแรงกระแทกจากด้านใดด้านหนึ่ง โดยจะแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่ไม่มีคมบาดเจ็บเหมือนกระจกปกติที่มีการแตกร้าวเป็นชิ้นใหญ่ๆ ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งานหรือการมีสัมผัสกับมัน ดังนั้น กระจกนิรภัยจึงเป็นวัสดุที่ได้รับความนิยมในการใช้งานในต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในงานสถาปัตยกรรม หรือการผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น