กระจกฉนวนมีประโยชน์ในการประหยัดพลังงาน



การเลือกกระจกฉนวนตามประสิทธิภาพพลังงาน ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้

- ค่าสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อนจากรังสีอาทิตย์ (Solar Heat Gain Coefficient, SHGC) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณความร้อนที่เกิดจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผ่านเข้าไปในอาคารผ่านกระจก
เป็นเปอร์เซ็นต์ของพลังงานแสงอาทิตย์ที่กระทบกระจก ค่า SHGC ยิ่งต่ำ ยิ่งบ่งบอกถึงการลดการถ่ายเทความร้อนได้ดี โดยมีมาตรฐานของกระจกอุตสาหกรรมไทย (TIS) ให้ SHGC ≤ 0.55
- ค่าการส่งผ่านของแสงธรรมชาติ (Visible Light Transmission, VLT) เป็นค่าที่บ่งบอกถึงปริมาณแสงธรรมชาติที่ผ่านเข้าไปในอาคารผ่านกระจก เพื่อการมองเห็น เป็นเปอร์เซ็นต์ของแสงธรรมชาติที่กระทบกระจก
ค่า VLT ยิ่งสูง ยิ่งบ่งบอกถึงการให้แสงสว่างได้ดี โดยค่า VLT ของกระจกไม่ควรต่ำกว่า 40%
- ค่าการส่งผ่านของแสงธรรมชาติต่อสัมประสิทธิ์การส่งผ่านความร้อนจากรังสีจากแสงอาทิตย์

- การเลือกกระจกฉนวนตามการลดเสียงรบกวน
 
การลดเสียงรบกวนเป็นเรื่องสำคัญในการออกแบบอาคารหรือห้องที่ต้องการความเงียบสงบ หรือป้องกันเสียงจากภายนอก หรือภายในห้องที่อาจก่อให้เกิดความรำคาญ หรือผลกระทบต่อสุขภาพของผู้ใช้งาน
การเลือกกระจกฉนวนที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ควรพิจารณาอย่างดี เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนได้มากที่สุด

กระจกฉนวนคือกระจกที่มีชั้นฉนวนอยู่ระหว่างแผ่นกระจก 2 แผ่น โดยชั้นฉนวนจะมีลักษณะเป็นแก๊ส หรือของเหลว ที่มีคุณสมบัติในการลดการส่งผ่านเสียงได้ ชั้นฉนวนที่ใช้มักจะเป็นแก๊สอาร์กอน (Argon) หรือไขโลหะ (Metallic Hydride)
ที่มีค่าความหนืด (Viscosity) และค่าความยืดหยุ่น (Elasticity) ที่ต่ำ เพื่อลดการสั่นสะเทือนของกระจก

การเลือกกระจกฉนวนตามการลดเสียงรบกวน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น
- แหล่งกำเนิดของเสียงรบกวน เช่น เสียงจากรถยนต์ เครื่องบิน เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
- ค่าความถี่ของเสียงรบกวน เช่น เสียงต่ำ (Low Frequency) เสียงปานกลาง (Mid Frequency) เสียงสูง (High Frequency)
- ค่าความดังของเสียงรบกวน เช่น เป็นไปตามหลักการที่ยิ่งเสียงดังยิ่งต้องใช้กระจกที่หนาและชั้นฉนวนที่ห่าง
- ข้อจำกัดของพื้นที่และโครงสร้าง เช่น ไม่สามารถใช้กระจกที่หนาได้ เพราะไม่ตรงตามข้อกำหนดของโครงสร้าง